วิชา
เรียงความกระทู้ธรรม
นักธรรมศึกษาชั้นตรี
ความสำคัญของวิชาเรียงความ
๑.
ส่งเสริมความเจริญทางด้านจินตนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เรียน
๒. ทำให้ผู้เรียนรู้จักลำดับความคิด
สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจตามต้องการได้
๓. รู้จักเลือกถ้อยคำสำนวนโวหารสำนวนได้ถูกต้องตามหลักภาษา
๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเขียนได้ถูกต้องตามแบบที่นิยม
ประโยชน์ของการเรียนกระทู้ธรรม
๑. ทำให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของธรรม
๒. ทำให้ผู้
เรียนได้เข้าใจถึงผลเสีย
กล่าวคือคุณและโทษของการปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตามธรรมะ
๓. ให้เข้าใจในชีวิตและรู้จักแสวงหาความสุขโดยมีธรรมะเป็นเครื่องชี้แนวทาง
๔. ช่วยพัฒนาด้านจิตใจของมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี
ละความชั่วประกอบความดี โดยพยายามงดเว้นความชั่วโดยเด็ดขาด
หลักเกณฑ์ในการแต่งกระทู้ธรรม
มีหลักสำคัญในการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
อยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑. ตีความหมาย
๒. ขยายความให้ชัดเจน
๓. ตั้งเกณฑ์อธิบาย
ตีความหมาย
ได้แก่การให้คำจำกัดความของธรรมนั้น ว่ามีความหมายอย่างไรเช่นพุทธภาษิตที่ว่า “กลฺ- ยาณการี
กลฺยาณํ ปาปการี จ
ปาปกํ”
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่วดังนี้ ก็ให้คำจำกัดความคำว่า “กรรมดี คืออะไร” “กรรมชั่วคืออะไร”
ในที่นี้กรรมดีหมายเอากุศลกรรมบถ
กรรมชั่วหมายถึง อกุศลกรรมบถ ฯลฯ
ขยายความให้ชัดเจน ได้แก่การขยายเนื้อความของคำซึ่งได้ให้ความหมายไว้แล้ว คือกุศลกรรมบถ และ
อกุศลกรรมบถ ว่ามีอย่างเท่าไร (อย่างละ ๑๐ ประการ) เป็นต้น
ตั้งเกณฑ์อธิบาย
ได้แก่การวางโครงร่างที่จะอธิบายเนื้อความของเนื้อหาว่ามีอะไรบ้าง
มีผลดีผลเสียอย่างไร
มีข้อเปรียบเทียบหรือมีตัวอย่างมาประกอบให้เห็นเด่นชัดได้หรือไม่
และควรจะนับถึงผลกรรมนั้น ๆ อย่างไร จึงจะทำให้ผู้อ่านผู้ฟังคล้อยตาม โดยเรียงเป็นลำดับขั้นตอนก่อนหลัง
ไม่สับสนวกไปวนมา
หลักเกณฑ์สำคัญในการอธิบาย ๓ ประการ คือ
๑. คำนำ
๒. เนื้อเรื่อง
๓. คำลงท้าย (สรุป)
คำนำ เป็นการอารัมภบทพจนคาถาที่เป็นบทตั้ง (กระทู้ หรือที่เรียกว่า อุเทศ) เพื่อเป็นบทนำในการเรียงความ
(คำนำของการเรียงความแก้กระทู้ธรรม ควรเขียนประมาณ 2-3 บรรทัด)
เนื้อเรื่อง เป็นการขยายเนื้อความของกระทู้ที่ตั้งไว้ เรียกว่าแก้
หรือเรียกว่า นิเทศ การนิเทศ
หรือขยายความเนื้อเรื่องนั้นจะต้องให้รสชาติเนื้อหาสาระแก่ผู้ อ่าน
ให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่เราจะอธิบาย ไม่ทำให้ผู้อ่านสับสนไขว้เขว (ควรเขียนอธิบายให้ได้ประมาณ 10 - 15 บรรทัด) แล้วจึงนำเอาภาษิตมาเชื่อม หรืออ้างภาษิตมาเพื่อสนับสนุน เรียกว่า
กระทู้รับ โดยนักธรรมศึกษาชั้นตรี มีข้อกำหนดให้นำ ภาษิตมาเสื่อมรับได้อย่างน้อย
๑ ภาษิต
ภาษิตที่นำมาอ้างสนับสนุนห้ามไม่ให้ซ้ำกัน แต่จะซ้ำที่มาได้ แล้วอธิบายภาษิตที่ยกมาสนับสนุนให้เนื้อความกลมกลืนกัน
(เขียนอธิบายประมาณ 5 - 7 บรรทัด กำลังพอดี)
คำลงท้าย หรือ
บทสรุป หรือ เรียกว่าปฏินิเทศ
หมายถึงการรวบรวมใจความที่สำคัญของเนื้อหาที่ได้อธิบายมาแล้ว สรุปลงอย่างย่อ ๆ ให้ได้ใจความ
ให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้งและรู้สึกว่าเรียงความที่อ่านมีคุณค่าน่าเชื่อถือ
น่าปฏิบัติตาม เกิดศรัทธาในความคิดของผู้เขียน (สรุปความ
ควรเขียนประมาณ 5 -7 บรรทัด)
วิธีการแต่งกระทู้ธรรม
มีการแต่งกระทู้ธรรมอยู่
๒ แบบ คือ
๑. แบบตั้งวง
คืออธิบายความหมายของธรรมข้อนั้น ๆ เสียก่อนแล้วจึงขยายความออกไป
๒.แบบตีวง
คือบรรยายเนื้อความไปก่อนแล้ว จึงวกเข้าหาความหมายของกระทู้ธรรมนั้น
ส่วนมากผู้แต่งกระทู้ธรรม มักจะนิยมแต่งแบบที่๑ คือ แบบตั้งวง
อธิบายความหมายภาษิตนั้นก่อนแล้วจึงขยายความให้ชัดเจนต่อไป.
ภาษาในการใช้
๑. ใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้อง มีประธาน มีกริยา มีกรรม
๒. ไม่ใช้ภาษาตลาด
ภาษาแสลง
๓. ไม่ใช้ภาษาพื้นเมือง
หรือภาษาท้องถิ่น
๓. ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศ
เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
สำนวนในการพรรณนา
ใช้สำนวนแบบเทศนาโวหาร มีหลักการเขียน ดังนี้
๑. ข้อความที่เขียนนั้นจะต้องมีเหตุผลใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้
๒. มีอุทาหรณ์และหลักคติธรรม
๓. ผู้เขียนจะต้องแสดงให้เห็นว่า
ตนมีลักษณะและคุณสมบัติพอเป็นที่เชื่อถือได้
หมายเหตุ : โวหารมี ๔ คือ
๑. พรรณนาโวหาร
ได้แก่ การพรรณนาความ คือ
เล่าเรื่องที่ได้เห็นมาแล้วด้วยความมุ่งหวังให้ไพเราะ เพลิดเพลินบันเทิง
๒. บรรยายโวหาร ได้แก่
การอธิบายข้อความที่ย่อซึ่งยังเคลือบแคลงอยู่ให้แจ่มแจ้งหรือพิสดาร
๓. เทศนาโวหาร
ได้แก่ การแต่งทำนองการสอน คือ
ชี้แจงหลักธรรมนั้น
๔. สาธกโวหาร
ได้แก่ การบรรยายข้อเปรียบเทียบ คือ
นำข้ออุปมาอุปไมยมาเทียบเคียง
หลักย่อ ๆ ที่ควรจำ เป็นเกณฑ์อธิบายในการแต่งกระทู้
๑. วิเคราะห์ศัพท์
คือ
การแสดงความหมายของกระทู้ตั้งแล้ววางเค้าโครงที่จะแต่งต่อไป
๒. ขยายความ คือ
การอธิบายให้กว้างออกไปตามแนวกระทู้ตามเหตุและผล
๓. เปรียบเทียบ คือ
ยกข้อความที่ตรงข้ามกันมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นได้ชัดในสิ่งที่พูดไป
๔.
ยกสุภาษิตรับ คือ การนำกระทู้สุภาษิตมารับมาอ้าง
๕.
ยกตัวอย่าง คือ
ยกตัวอย่างธรรมะ หรือบุคคล สถานที่มาเป็นตัวอย่าง
๖.
สรุปความ คือ
ย่อความที่กล่าวมาแล้วนั้นให้เข้าใจง่าย ก่อนที่จะจบกระทู้
ตัวอย่างการวางรูปแบบเรียงความแก้กระทู้ธรรม
........................................................
(ภาษิตภาษาบาลี)
........................................................ (คำแปลภาษาไทย)
(คำนำ) บัดนี้ จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้
ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติ เป็นลำดับไป
(อธิบายเนื้อความ)..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................……………………………
สมด้วยธรรมสุภาษิตที่มาใน............................................................................
ความว่า
..............................................................(ภาษิตที่ยกมาอ้าง)
.............................................................. (คำแปล)
(อธิบายเนื้อความ)..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ฯ
(สรุปความ) .............................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
สมดังประพันธ์ธรรมสุภาษิตที่ได้ยกมาเป็นนิกเขปบท ณ เบื้องต้น ว่า(ยกภาษิตที่กล่าวเบื้องต้นมากล่าวอีกครั้ง)..................................
............................................................................ ดังมีอรรถาธิบายมา ด้วยประการฉะนี้.
ตัวอย่าง เรียงความแก้กระทู้ธรรม
นักธรรมศึกษาชั้นตรี
วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ
คนจะล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร
บัดนี้
จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ
เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติ เป็นลำดับไป
คำว่า
ทุกข์ คือสภาพที่บีบคั้นเบียดเบียน
มีความลำบาก ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มีความคับบแคบใจ อันมีเหตุมาจากความไม่สมปรารถนา ไม่ได้ดังใจ
ได้สิ่งของบางอย่างมาแล้วไม่ถูกใจ ตลอดถึงการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นเหตุแห่งความทุกข์เป็นความลำบาก กล่าวโดยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสว่า
สังขารร่างกายนี้ก็เป็นทุกข์ ฉะนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความทุกข์เป็นความจริง เป็นทุกข์อริสัจ ความทุกข์นี้มีมาประจำกับตัวเราแล้วตั้งแต่เกิด
มีความลำบากในการที่จะหาเลี้ยงชีพ ทั้งตัวเองและคนอื่น
แม้การศึกษาเล่าเรียนของเรานี้ ก็เหมือนกัน
เป็นความทุกข์ เป็นความลำบาก
แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงเทศนาสั่งสอนให้พวกเรามองให้เห็นความทุกข์ และก็ให้ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง ไม่ให้จมปรักอยู่มัน
ไม่ให้เศร้าโศกและเสียใจกับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสอน หาทางหนีจากความทุกข์ หาทางแก้ทุกข์
เพื่อที่จะให้มีความทุกข์น้อยลง ให้มีความสุขตามปกติที่ใจมุ่งหวัง
ในการที่จะหนี้จากความทุกข์ หาทางแก้ทุกข์นั้นพระองค์ก็ทรงสอนให้มีความเพียรก็คือ ประการแรก
เพียรพยายามไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นแก่เรา ประการที่สองเพียรละสิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ความสุขของเรา
ประการที่สามเพียรพยายามทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์แก่เรา
และประการที่สี่เพียรพยายามความดีสิ่งที่ดีทีมีอยู่ในตัวของเราแล้วให้คงอยู่ต่อไป นี้คือทางที่จะแก้ความทุกข์ ทางที่จะพ้นจากความทุกข์ ความเพียรสี่ประการนี้เป็นสิ่งที่คนเรามนุษย์สามารถที่จะทำได้
เพราะว่ามนุษย์เป็นผู้มีความคิดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าสัตว์เหล่าอื่น สมดังพระพุทธภาษิตที่มาในขุททกนิกาย
ธัมมปทคาถาว่า
ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ
ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐ
แสดงว่า มนุษย์เรานี้ เป็นผู้ฝึกฝนตนเองได้
ด้วยความเพียรพยายามของตัวเขาเองในการศึกษาเล่าเรียนของเรานี้ก็เช่นกัน กว่าที่เราจะจบมาได้แต่ละชั้นก็มีความยากลำบาก
และยิ่งในการที่เราจบมีเกรดที่ดีแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย
เราต้องใช้ความเพียรพยายามฝึกฝนต้นเองหมั่นศึกษาค้นคว้า ละสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเรา เอาใจใส่ในงานที่ครูอาจารย์มอบหมายให้ ไม่เกียจคร้าน
เมื่อเราหมั่นขยันอดทนฝึกฝนอยู่อย่างนี้
ก็จะเห็นได้ว่าความยากลำบากเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก เราก็จะได้รับผลสำเร็จในการศึกษา และภาคภูมิใจในตัวของเรา ไม่เฉพาะตัวเราแม้คนอื่นก็จะยกย่องสรรเสริญว่าเป็นเด็กดี
หรือเป็นผู้ประเสริฐ
ถ้าหากขาดการฝึกฝนแล้วไซร้ จะกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลผู้ประเสริฐก็หาไม่
จะเป็นคนดีได้อย่างไร
สรุปความว่า ความทุกข์ ความลำบากของมนุษย์ต่าง ๆ นานา
ของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถจะเอาชนะได้ สามารถบรรลุความสุข
ผ่านความทุกข์นั้นได้ ก็เพราะความเพียร
ดังที่กล่าวมาว่า ประการแรกเพียรสังวรระวังไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นแก่ตัวเรา
ประการที่สองเพียรละสิ่งที่ไม่ดีนั้น
ประการที่สามเพียรสั่งสมความดีหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเรา และประการที่สี่เพียรรักษาความดีนั้นไว้ให้อยู่กับตัวเรานาน
ๆ เมื่อฝึกตนเองได้แล้วก็จะเป็นคนที่มีแต่สวัสดีภาพ เป็นผู้ประเสริฐ
สมดังนัยพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ ณ
เบื้องต้นนั้นว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺ เจติ
คนจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร ดังมีอรรถาธิบายมาแล้ว เอวํ
ก็มีด้วยประการ ฉะนี้.
เข้าใจง่าย
ตอบลบเข้าใจง่ายครับ
ตอบลบเข้าใจง่ายดีครับ
ตอบลบอันนี่ใช่ ขุ.ธ.ไหมค่ะ
ตอบลบขอบพระคุณค่ะ กระจ่างมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบขอบคุนมาก
ตอบลบตอบ
ตอบลบรอดแล้ววววว><
ตอบลบขอบมากๆครับตอนผมกำลังจะเรียนพระธรรมชั้นตรีผมก็เลยศึกษาเอาความรุ้เป็นแนวทางต่อไปครับท้ายนี้ผมไม่มีอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณ
ตอบลบอ่านง่ายเข้าใจง่ายไม่ยากอย่างที่คิด สาธุ สาธุ .......เอวัง
ตอบลบอายุ วัณโณ สุขัง พลัง
ตอบลบสุภาษิตที่2ต้องให้ความหมายเกี่ยวข้องกับสุภาษิตแรกใช่่่่่มั้ยคะ
ตอบลบคับ
ลบผมเคยสอบอะแก้กระทู้มันมี4วิชาแก้กระทู้ผมได้98/100ที่เหลือรวมแล้วผมควรจะได้230กว่าๆอะมันควรผ่านแต่ตอนนี้ซ้ำตรีมา2ปีละครับ
ตอบลบ4ปีคับลืมไม่รวมตอนนี้ที่ผมเรียนม.2
ลบYour internet site is in fact cool and this is a pleasant challenging article 검증사이트
ตอบลบthank you for writing a nice 아가씨 구인 article
ตอบลบ