เนื้อหาวิชากระทู้ธรรม นักธรรมศึกษาชั้นโท
|
วิชา
การแต่งกระทู้นี้ ก็คือการแต่งเรียงความธรรมนั่นเอง โดยอธิบายหัวข้อธรรม(สุภาษิต) ที่กำหนดให้ และหาสุภาษิตอื่นมารับรองกับเนื้อความที่ตนได้อธิบายมานั้น ให้สัมพันธ์กัน โดยในชั้นนี้กำหนดให้หาสุภาษิตอื่นมาเชื่อม ๒ สุภาษิต และให้แต่งตั้งแต่ ๔ หน้ากระดาษ (เว้นบรรทัด)ขึ้นไป
ในการแต่งกระทู้นั้น ให้นักเรียนตีความหมายของสุภาษิตเสียก่อน ว่าหมายถึงอะไร สรุปใจความโดยย่อว่าอย่างไร ต่อมาให้วางแนวทางว่าจะอธิบายไปในทำนองใด จะสามารถเชื่อมกับสุภาษิตที่เตรียมไว้ได้หรือไม่ และคำสรุปลงท้ายจะเน้นตรงจุดไหน เมื่อหาข้อสรุปได้ดังนี้แล้ว จึงค่อยลงมือแต่ง การแต่งนั้นควรบรรยายในทำนองที่จะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังมองเห็นภาพพจน์และเชื่อมตามนั้น โดยการเอาสุภาษิตมารับรองคำพูดที่ได้อธิบายมานั้น ให้มีหลักฐานน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และอย่าลืมใส่ที่มาของสุภาษิตนั้นด้วย
การแต่งที่ถูกต้องตามลักษณะนั้น
สนามหลวงได้กำหนดไว้ในระเบียบการตรวจมี ๗ ลักษณะด้วยกัน นักเรียนจะต้องแต่งให้ถูกต้องตามข้อระเบียบนี้มากที่สุด คือ
๑. แต่งให้ได้ตามกำหนด (๔ หน้ากระดาษ(เว้นบรรทัด)ขึ้นไป)
๒. อ้างสุภาษิตได้ตามกฎ
(คือ นำมาเชื่อม ๒ สุภาษิตขึ้นไป) และบอกที่มาได้ถูกต้อง
๓. เชื่อมกระทู้ได้ดี
๔. อธิบายความสมกับกระทู้ที่ได้ตั้งเอาไว้
๕. ใช้สำนวนเรียบง่าย ภาษาสละสลวย
๖. ใช้ตัวสะกดการันต์ได้ถูกต้องเป็นส่วนมาก
๗. สะอาด ไม่เปรอะเปื้อน
ขั้นตอนการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
ขั้นตอนก่อนลงมือเขียน
- ต้องท่องจำพุทธศาสนสุภาษิตเล่ม ๑
และเขียนให้ถูกต้องให้ได้อย่างน้อย ๒ สุภาษิต
พร้อมทั้งที่มาของสุภาษิตบทนั้นด้วย เพื่อนำไปเป็นสุภาษิตเชื่อม
(เวลาสอบใช้สุภาษิตเดียว)
- เมื่อท่องจำสุภาษิตได้แล้ว
ฝึกหัดเขียนอธิบายสุภาษิตบทนั้นสัก ๒-๓ ครั้ง ประมาณ ๑-๒ หน้ากระดาษ
จนเกิดความชำนาญ เมื่อนำไปเชื่อมในสนามหลวงจะได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนลงมือเขียน (ดูแผนการเขียน หน้า ๕ ประกอบ)
ขั้นตอนที่ ๑
การเขียนสุภาษิตสนามหลวง ต้องเขียนไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษสอบให้พอดี
โดยเฉพาะคำบาลีนั้นต้องเขียนให้ถูก ระวังจุดพินทุ (จุดใต้พยัญชนะ) นิคคหิต
(จุดวงกลมบนพยัญชนะ) อย่าให้หาย และต้องเขียนให้ตรงตัวพยัญชนะ
อย่าให้คลาดเคลื่อน ส่วนคำแปลนั้นพึงเขียนจัดวางให้ได้กึ่งกลางของคำบาลี
อย่าให้ล้น ไปข้างหน้า หรือเยื้องไปข้างหลังจะดูไม่งาม
ขั้นตอนที่ ๒ การเขียนอารัมภบท คือ ณ บัดนี้...... ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ ย่อหน้าประมาณ ๕-๖ ตัวอักษร
ขั้นตอนที่ ๓ ขั้นอธิบายเนื้อความ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ย่อหน้ากระดาษ ต้องให้ตรงกับ ณ บัดนี้
ขั้นตอนที่ ๔
การเขียนสุภาษิตเชื่อม
ต้องเชื่อมเนื้่อความของสุภาษิตแรกกับสุภาษิตที่สองให้ถึงกัน เช่น
สุภาษิตแรกพูดถึงเรื่องกรรม เราจะยกสุภาษิตเรื่องศีลมาเชื่อม
ก็ต้องพูดเรื่องกรรมกับศีลให้เกี่ยวข้องกันว่า
ศีลนั้นมีประโยชน์ให้คนทำกรรมอย่างไรหรือเพราะเหตุใด
คนต้องอาศัยศีลในการสร้างกรรม
เสร็จแล้วให้บอกที่มาของสุภาษิตที่ยกมาอ้างก่อนว่า สมดังสุภาษิตที่มาใน..............ว่า แล้วจึงเขียนสุภาษิตที่ยกมาเชื่อมไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ
ขั้นตอนที่ ๕ เสร็จแล้ว ก่อนจะอธิบายเนื้อความของสุภาษิตบทเชื่อม ให้ย่อหน้าขึ้นบรรทัดใหม่
ขั้นตอนที่ ๖ ขั้นตอนการสรุป ให้ย่อหน้าขึ้นบรรทัดใหม่ เขียนคำว่า สรุปความว่า...... การสรุปความนั้น ควรสรุปประมาณ ๕-๖ บรรทัดจึงจะพอดี เมื่อสรุปเสร็จแล้ว ให้นำสุภาษิตสนามหลวงมาเขียน ปิดท้าย
ขั้นตอนที่ ๗ ก่อนเขียนสุภาษิตปิดท้าย ให้เขียนคำว่า สมดังสุภาษิตที่ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทเบื้องต้นนั้นว่า แล้วนำสุภาษิตสนามหลวง หรือ สุภาษิตบทตั้งมาเขียนไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษปิดท้าย
ขั้นตอนที่ ๘ บรรทัดสุดท้าย นิยมเติมคำว่า "มีนัยดังพรรณนามาด้วยประการฉะนี้" หรือ "เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ" โดยไม่ต้องย่อหน้า
ส่วนการย่อหน้าและจัดวรรคตอนในที่
อื่นนอกจากนี้นั้น ให้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ต้องฝึกเขียนให้ได้ ๔-๕ ครั้งขึ้นไป
ยิ่งเขียนได้มากครั้งยิ่งดี แต่ละครั้งที่ฝึกเขียน
ให้ดูแผนการเขียนและตัวอย่างการเรียงความแก้กระทู้ธรรมประกอบด้วยว่าถูกต้อง
หรือไม่
ในการเขียนวิชาเรียงความแก้กระทู้
ธรรมนั้น ถ้าหากมีการฝึกเขียนบ่อย ๆ
โดยยกหัวข้อธรรมขึ้นมาแต่งอธิบายด้วยตนเอง
ตามแผนการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมและขั้นตอนทั้ง ๘
ประการที่กล่าวแล้ว จนเกิดความชำนาญในการเขียน การอธิบาย
ไม่ว่าสนามหลวงจะออกมาในแนวไหนก็จะสามารถอธิบายขยายความได้อย่างคล่องแคล่ว
และถือเป็นการฝึกหัดเขียนตัวหนังสือให้สวยขึ้นด้วย
การเขียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
นั้น ส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้คะแนนดี คือการวางรูปแบบ เช่น
การเขียนสุภาษิต ได้กึ่งกลางหน้ากระดาษหรือไม่ วรรคตอน การย่อหน้า
ตรงกันหรือไม่ และการอธิบายเนื้อความก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน ต้อง
อธิบายขยายความเนื้อหาธรรม ให้กระชับต่อเนื่องสมเหตุสมผล
ยกข้ออุปมาอุปไมยมาเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย
การเขียนให้เขียนด้วยตัวบรรจงครึ่งบรรทัดอ่านง่าย ดูสะอาดตา
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยรอยลบและขีดฆ่า ทำได้ดังนี้จะได้คะแนนสูง
วิชานี้ถือเป็นวิชาช่วย ถ้าได้คะแนนวิชาอื่นน้อย
วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมจะช่วยได้มากเลยทีเดียว
วิธีการในการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เวลาสอบ
ผู้สอบจะทำได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการใส่ใจฝึกฝน
กำหนดจดจำรูปแบบให้ได้ หมั่นทบทวนทำความเข้าใจบ่อย ๆ ก็ยิ่งดี
และยังเป็นเบื้องต้นแห่งทักษะในการพูดหรือสอน และเป็นนักเขียน นักปราชญ์
นักเทศน์ นักบรรยาย และครูบาอาจารย์ เป็นต้น ฯลฯ
โครงสร้างแบบอย่างการแต่งกระทู้
(สุภาษิต)................................ ...................................
...................................... ...................................
(คำแปล).................................................... .............................................................
บัดนี้ จะได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางการปฏิบัติและศึกษา สำหรับผู้สนใจ เป็นลำดับไป
.....................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
................................................สมกับสุภาษิตที่มาใน
.................................................................ว่า
(สุภาษิต)................................ ...................................
...................................... ...................................
(คำแปล).................................................... .............................................................
ความว่า..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................………………..สมกับสุภาษิตที่มาใน(ที่มา).................................................................ว่า
(สุภาษิต)................................ ...................................
...................................... ...................................
(คำแปล).................................................... .............................................................
ความว่า..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................…………
สรุปความว่า..........................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................……..................
ตัวอย่างการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง.
การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง.
บัดนี้
จักได้อธิบายขยายความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น
เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมสัมมาปฏิบัติ
แก่สาธุชนพุทธบริษัทตามสมควรแก่เวลาต่อไป
คำว่า ทาน
หมายถึง การให้ กล่าวคือ เจตนาเป็นเครื่องบริจาค ทาน
การให้นั้นแยกโดยประเภทมี ๒ คือ อามิสทาน และธรรมทาน
การให้วัตถุอันก่อให้เกิดความสุขแก่ผู้รับ ชื่อว่าอามิสทาน
การให้วิชาความรู้อันหาโทษมิได้ ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ ชื่อว่า ธรรมทาน
และการให้นั้นกล่าวโดยลักษณะแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
ให้ด้วยความอนุเคราะห์สำเร็จด้วยเมตตากรุณา
และให้ด้วยความปรารถนาจะบูชาสำเร็จด้วยความเคารพนับถือ
การให้ด้วยความอนุเคราะห์นั้น เช่น บิดามารดาให้อาหาร
เครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องเล่นต่าง ๆ แก่บุตรธิดาในเวลายังเป็นเด็ก
ให้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อเป็นทุนรอน
ให้ถิ่นฐานบ้านเรือนเมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว เจ้านายให้โภคทรัพย์แก่บริวาร
ญาติมิตรแบ่งปันข้าวของให้กัน นี้เป็นการให้อนุเคราะห์เจาะจง
บุตรธิดาผู้มีเหย้าเรือนแล้วให้ทรัพย์เป็นเครื่องเลี้ยงชีพให้ผ้าผ่อนท่อน
สไบ และเครื่องใช้สอยแก่บิดามารดา บริวารมอบสิ่งของ ให้แก่เจ้านาย
เป็นการแสดงความจงรักภักดี นี้เป็นการให้เพื่อเป็นการบูชาคุณท่าน
ผู้ที่มั่งมีทรัพย์สิน มีจิตเมตตาเอื้อเฟื้อต่อมหาชนทั่วไป
หรือทำการกุศลสาธารณประโยชน์
การให้ประเภทนี้ย่อมเป็นที่สรรเสริญของมหาชนเป็นอันมาก และในการให้นั้น
ต้องให้แต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไปอันเป็นเหตุให้ตนขัดสน
การให้ทานนั้นย่อมเป็นที่ชอบใจของผู้ได้รับทาน
คนเป็นอันมากย่อมสมาคมคบหากับผู้บำเพ็ญทานนั้น
สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มาในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตว่า
ททํ ปิโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา.
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา.
การให้จะด้วยเพื่อ
การอนุเคราะห์หรือเพื่อบูชาคุณก็ตามแต่ ผู้มีจิตคิดบริจาค
ย่อมได้รับอานิสงส์มากมายหลายสถาน ที่เห็นได้ง่าย ๆ
ย่อมเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป และชนทั้งหลายย่อมยกย่องนับถือ
แม้นักปราชญ์ราชบัณฑิตก็สรรเสริญ การให้นั้น มี ๒
อย่างตามที่กล่าวแล้วและต้องประกอบไปด้วยเจตนา คือ
ความตรึกนึกคิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์
มิได้มุ่งหวังอามิสสิ่งอื่นใด รวมถึงการชี้แจงบาปบุญคุณโทษ
สิ่งที่ควรทำและควรละ แนะนำทางไปสู่สวรรค์นิพพาน ชื่อว่าธรรมทาน ๆ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญไว้ในทานสูตรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทานมี ๒
ชนิด คือ อามิสทาน และธรรมทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาทานทั้ง ๒
อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเยี่ยมกว่าทานทั้งปวง ดังนี้
จะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญทานทุกอย่างล้วนมีคุณ และมีอานิสงส์มาก
ดังที่กล่าวแล้ว
สรุปความได้ว่า
การให้นั้นไม่ว่าจะเป็นการให้ธรรมทาน กล่าวคือ ให้โอวาท
สั่งสอนศิลปวิทยาความรู้อันปราศจากโทษ เป็นคุณประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป
อีกอย่างการให้ที่เป็นการสงเคราะห์ แก่ผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หรือเป็นการบูชาตอบแทนพระคุณ ต่อผู้ที่มีอุปการคุณแก่ตน
เมื่อบำเพ็ญประพฤติได้ดังนี้แล้ว
ก็ย่อมเป็นเหตุให้มีแต่มิตรสหายบริวารที่ดีแวดล้อม ไปที่ไหน ๆ
ก็ไม่ตกอับขัดสน และย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน เช่นกัน ดังนั้น
จึงควรหัดเป็นผู้มีจิตใจมีเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจกัน
อันจะทำให้สังคมโดยรวมมีแต่ความสุขตลอดไป
สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทเบื้องต้นนั้นว่า
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง.
การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง.
มีนัยดังพรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ
ความหมายของการแต่งกระทู้
การที่จะเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมได้ดีเพียงพอให้สอบผ่านได้นั้น ต้องเข้าใจความหมาย ดังต่อไปนี้
1. เรียงความ หมายถึง การเก็บถ้อยคำสำนวน เรียบเรียงให้ถูกต้องตามหลักภาษา กระชับเข้าใจง่าย มีอรรถรสทางภาษา และสมเหตุสมผลตามสุภาษิตนั้น
2. แก้ หมาย
ถึง การอธิบายหัวข้อธรรมหรือพุทธศาสนสุภาษิตที่กำหนดให้นั้น
ให้ได้เนื้อความ สำนวนโวหารและมีเหตุผลสอดคล้องตามพุทธศาสนสุภาษิตนั้น
3. กระทู้ธรรม หมายถึง พุทธศาสนสุภาษิต ที่สนามหลวงกำหนดให้
สำหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี
หัวข้อธรรมนั้นมีอยู่ในหนังสือพุทธศาสนสุภาษิต เล่ม 1
เป็นหลักสำหรับออกเป็นข้อสอบให้นักเรียนเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
ความหมายของการแต่งกระทู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น