วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

นักธรรมศึกษาชั้นตรี เนื้อหาวิชาคิหิปฏิบัติ (แบบสรุป ฉบับเตรียมสอบ)

นักธรรมศึกษาชั้นตรี   เนื้อหาวิชาคิหิปฏิบัติ  

จตุกกะ  คือ  หมวด  ๔
ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์  คือ  ประโยชน์ในปัจจุบัน  ๔  อย่าง
         ๑.   อุฏฐานสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยความหมั่น  ในการประกอบกิจ  เครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี  ในการศึกษาเล่าเรียนก็ดี  ในการทำธุระหน้าที่ของตนก็ดี
         ๒.   อารักขสัมปทา   ถึงพร้อมด้วยการรักษา  คือรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่น  ไม่ให้เป็นอันตรายก็ดี  รักษาการงานของตน   ไม่ให้เสื่อมเสียไปก็ดี
         ๓.   กัลยาณมิตตตา   ความมีเพื่อนเป็นคนดี  ไม่คบคนชั่ว
         ๔.   สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควร แก่กำลังทรัพย์ที่หาได้  ไม่ให้ ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก
สัมปรายิกัตถประโยชน์  คือ   ประโยชน์ภายหน้า  ๔  อย่าง
         ๑.   สัทธาสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยศรัทธาคือเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ เช่นเชื่อว่าทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  เป็นต้น
         ๒.   สีลสัมปทา   ถึงพร้อมด้วยศีล  คือ  รักษา  กาย วาจาเรียบร้อยดีไม่มีโทษ 
         ๓.   จาคสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน  เป็นการเฉลี่ยสุขให้แก่ผู้อื่น
         ๔.   ปัญญาสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยปัญญา  รู้จัก บาป บุญ คุณ  โทษประโยชน์  มิใช่ประโยชน์
มิตตปฏิรูป  คือ  คนเทียมมิตร  ๔  จำพวก
                             ๑.   คนปลอกลอก              ๒.  คนดีแต่พูด  
๓.  คนหัวประจบ              ๔.  คนชักชวนในทางฉิบหาย
คน  ๔  จำพวกนี้  ไม่ใช่มิตร  เป็นแต่คนเทียมมิตร  ไม่ควรคบ
๑.  คนปลอกลอก   มีลักษณะ  ๔
              ๑.   คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว                                ๒.   เสียให้น้อย  คิดเอาให้ได้มา   
๓.   เมื่อมีภัยแก่ตัว  จึงรับทำกิจของเพื่อน    ๔.   คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว
๒.  คนดีแต่พูด    มีลักษณะ  ๔
             ๑.   เก็บเอาเรื่องล่วงแล้วมาปราศรัย               ๒.   อ้างเอาเรื่องที่ยังไม่มีมาปราศรัย 
๓.   สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้      ๔.   ออกปากพึ่งมิได้
๓.  คนหัวประจบ  มีลักษณะ  ๔
             ๑.  จะทำชั่วก็คล้อยตาม                                     ๒. จะทำดีก็คล้อยตาม
 ๓. ต่อหน้าว่าสรรเสริญ                                    ๔. ลับหลังตั้งนินทา
๔.  คนชักชวนในทางฉิบหาย  มีลักษณะ  ๔
             ๑.    ชักชวนดื่มน้ำเมา                                      ๒.   ชักชวนเที่ยวกลางคืน 
๓.   ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น                ๔.   ชักชวนเล่นการพนัน
มิตรแท้   ๔    จำพวก
                             ๑.   มิตรมีอุปการะ                                             ๒.   มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ 
๓.  มิตรแนะประโยชน์                                     ๔.   มิตรมีความรักใคร่
                           มิตร  ๔  จำพวกนี้  เป็นมิตรแท้  ควรคบ
๑.  มิตรมีอุปการะ   มีลักษณะ  ๔
             ๑.   ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว    ๒.   ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
             ๓.   เมื่อมีภัย  เป็นที่พึ่งพำนักได้    ๔.   เมื่อมีธุระ  ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก
๒.   มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์   มีลักษณะ  ๔
             ๑.   ขยายความลับของตนแก่เพื่อน                 ๒.   ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย
             ๓.   ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ                                 ๔.   แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้
๓.   มิตรแนะประโยชน์   มีลักษณะ   ๔
             ๑.   ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว                                ๒.   แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี 
๓.   ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง                              ๔.   บอกทางสวรรค์ให้
๔.   มิตรมีความรักใคร่   มีลักษณะ   ๔
              ๑. ทุกข์ๆ ด้วย                                                     ๒. สุขๆด้วย        
๓. โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน                      ๔. รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน
สังคหวัตถุ  ๔  อย่าง
                             ๑.   ทาน              ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน    
๒.   ปิยวาจา       เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน
                             ๓.   อัตถจริยา   ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น             
๔.   สมานัตตตา    ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว     
คุณทั้ง  ๔  อย่างนี้  เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้
ฆราวาสธรรม    ๔  อย่าง
                  ๑. สัจจะ     สัตย์ซื่อต่อกัน                              ๒. ทมะ  รู้จักข่มจิตของตน (หมายถึง  ปัญญา)
                 ๓. ขันติ อดทน(หมายถึง  ความเพียร)   ๔. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน
ปัญจกะ  คือ  หมวด  ๕
มิจฉาวณิชชา    คือการค้าขายไม่ชอบธรรม  ๕  อย่าง
๑.   ค้าขายเครื่องประหาร                ๒.   ค้าขายมนุษย์ 
๓.   ค้าขายสัตว์เป็นสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร       
๔.   ค้าขายน้ำเมา                               ๕.   ค้าขายยาพิษ
สมบัติของอุบาสกอุบาสิกา  ๕  ประการ
                             ๑.   ประกอบด้วยศรัทธา                                  ๒.  มีศีลบริสุทธิ์  
๓.  ไม่ถือมงคลตื่นข่าว  คือเชื่อกรรม   ไม่เชื่อมงคล
                             ๔.   ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา   ๕.   บำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา
                   อุบาสกพึงตั้งอยู่ในสมบัติ  ๕  ประการ  และเว้นจากวิบัติ  ๕ ประการ  ซึ่งวิปริตจากสมบัตินั้น

ฉักกะ  คือ หมวด  ๖
ทิศ   ๖
             ๑. ปุรัตถิมทิส   คือ ทิศเบื้องหน้า  มารดาบิดา            ๒. ทักขิณทิส   คือ ทิศเบื้องขวา   อาจารย์
              ๓.  ปัจฉิมทิส   คือ ทิศเบื้องหลัง   บุตรภรรยา           ๔. อุตตรทิส    คือ ทิศเบื้องซ้าย   มิตร
              ๕. เหฏฐิมทิส  คือ             ทิศเบื้องต่ำ   บ่าว                 ๖.  อุปริมทิส  คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์

๑.   ปุรัตถิมทิส  คือ ทิศเบื้องหน้า  มารดาบิดา  บุตรพึงบำรุงด้วยสถาน  ๕
                              ๑.   ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว  เลี้ยงท่านตอบ 
                                ๒.   ทำกิจของท่าน
                             ๓.   ดำรงวงศ์สกุล
                             ๔.  ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก 
                             ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว  ทำบุญอุทิศให้ท่าน
                                มารดาบิดาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน  ๕
              ๑.   ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว              ๒.   ให้ตั้งอยู่ในความดี     ๓.   ให้ศึกษาศิลปวิทยา
              ๔.   หาภรรยา/สามีที่สมควร          ๕.   มอบทรัพย์ให้ในสมัย
๒.   ทักขิณทิส      คือทิศเบื้องขวา   อาจารย์  ศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน   ๕
             ๑.   ด้วยลุกขึ้นยืนรับ         ๒.   ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้            ๓.   ด้วยเชื่อฟัง
              ๔.   ด้วยอุปัฏฐาก                             ๕.   ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ
อาจารย์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน   ๕
               ๑.   แนะนำดี                   ๒.   ให้เรียนดี                    ๓.   บอกศิลปให้สิ้นเชิง  ไม่ปิดบังอำพราง
             ๔.   ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง  ๕.   ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย   
๓.    ปัจฉิมทิส       คือทิศเบื้องหลัง   ภรรยา   สามีพึงบำรุงด้วยสถาน  ๕
               ๑.   ด้วยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา              ๒.   ด้วยไม่ดูหมิ่น             ๓.   ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ
              ๔.   ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้     ๕.   ด้วยให้เครื่องแต่งตัว
ภรรยาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน  ๕
             ๑.   จัดการงานดี                                ๒.   สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี 
๓.   ไม่ประพฤติล่วงใจผัว                ๔.   รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ไว้                     
๕.   ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง
๔.   อุตตรทิส        คือทิศเบื้องซ้าย   มิตร  กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน  ๕
              ๑.    ด้วยให้ปัน     ๒.   ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ    ๓.   ด้วยประพฤติประโยชน์
             ๔.   ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๕.   ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง
มิตรได้บำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน  ๕
                ๑.   รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว   ๒.   รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว
                ๓.  เมื่อมีภัย เอาเป็นที่พึ่งพำนักได้  ๔.  ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ  ๕.  นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร
๕.   เหฏฐิมทิส      คือทิศเบื้องต่ำ   บ่าว  นายพึงบำรุงด้วยสถาน   ๕
              ๑.   ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง  ๒.   ด้วยให้อาหารและรางวัล
              ๓.   ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้           ๔.   ด้วยแจกของมีรสประหลาดให้กิน
              ๕.   ด้วยปล่อยในสมัย
บ่าวได้บำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน   ๕
                ๑.   ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย   ๒.   เลิกการงานทีหลังนาย  ๓. ถือเอาแต่ของที่นายให้
               ๔.   ทำการงานให้ดีขึ้น                   ๕.   นำคุณของนายไปสรรเสริญในที่นั้น ๆ
๖.   อุปริมทิส   คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์  กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน  ๕
             ๑.   ด้วยกายกรรม  คือทำอะไร ๆ  ประกอบด้วยเมตตา  
๒.   ด้วยวจีกรรม   คือพูดอะไร ๆ  ประกอบด้วยเมตตา   
๓.   ด้วยมโนกรรม  คือคิดอะไร ๆ  ประกอบด้วยเมตตา     
๔.   ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู  คือมิได้ห้ามเข้าบ้านเรือน 
๕.   ด้วยให้อามิสทาน
สมณพราหมณ์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว  ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน  ๖
               ๑.   ห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว    ๒.   ให้ตั้งอยู่ในความดี
              ๓.  อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม    ๔. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
              ๕.   ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้ชัดเจน                 ๖.   บอกทางสวรรค์ให้
อบายมุข  คือเหตุเครื่องฉิบหาย  ๖
             ๑.    ดื่มน้ำเมา                    ๒    เที่ยวกลางคืน             ๓.   เที่ยวดูการเล่น  
๔.   เล่นการพนัน              ๕.   คบคนชั่วเป็นมิตร    ๖.   เกียจคร้านการทำงาน
๑.   ดื่มน้ำเมา  มีโทษ  ๖
             ๑.   เสียทรัพย์                     ๒.   ก่อการทะเลาะวิวาท                 ๓.   เกิดโรค 
๔.   ต้องติเตียน                   ๕.   ไม้รู้จักอาย                                  ๖.ทอนกำลังปัญญา
๒    เที่ยวกลางคืน  มีโทษ  ๖
         ๑.   ชื่อว่าไม่รักษาตัว             ๒.   ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย                 ๓. ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ
         ๔.   เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย   ๕.   มักถูกใส่ความ               ๖.  ได้ความลำบากมาก
๓.   เที่ยวดูการเล่น  มีโทษตามวัตถุที่ไปดู    ๖
         ๑.   รำที่ไหนไปที่นั่น           ๒.   ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น              ๓.   ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่นั่น
         ๔.   เสภาที่ไหนไปที่นั่น      ๕.   เพลงที่ไหนไปที่นั่น                  ๖.   เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น
๔.   เล่นการพนัน  มีโทษ   ๖
         ๑.   เมื่อชนะย่อมก่อเวร                        ๒.   เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป 
         ๓.   ทรัพย์ย่อมฉิบหาย                        ๔.ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ
        ๕.    เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อน                   ๖.ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย
๕.   คบคนชั่วเป็นมิตร  มีโทษตามบุคคลที่คบ   ๖
         ๑.   นำให้เป็นนักเลงการพนัน          ๒. นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ 
        ๓.   นำให้เป็นนักเลงเหล้า                  ๔.นำให้เป็นคนลวงเขาด้วยของปลอม
        ๕.   นำให้เป็นคนลวงเขาซึ่งหน้า       ๖.นำให้เป็นคนหัวไม้
๖.   เกียจคร้านการทำงาน  มีโทษ   ๖
         ๑.  มักให้อ้างว่า หนาวนัก  แล้วไม่ทำการงาน    ๒.  มักให้อ้างว่า  ร้อนนัก    แล้วไม่ทำการงาน
         ๓. มักให้อ้างว่าเวลาเย็นแล้ว แล้วไม่ทำการงาน  ๔. มักให้อ้างว่า ยังเช้าอยู่  แล้วไม่ทำการงาน
         ๕. มักให้อ้างว่า  หิวนัก   แล้วไม่ทำการงาน     ๖. มักให้อ้างว่า กระหายนัก  แล้วไม่ทำการงาน
                     ผู้หวังความเจริญด้วยโภคทรัพย์  พึงเว้นเหตุเครื่องฉิบหาย  ๖  ประการนี้เสีย







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น